1. ความจุในการรับน้ำหนัก: ผู้ใช้จะต้องเลือกความจุของ UPS ที่เหมาะสมตามกำลังและปริมาณของอุปกรณ์ โดยทั่วไป ยิ่งความจุในการรับน้ำหนักมากเท่าไร อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ UPS ก็จะยิ่งยาวนานขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม UPS ที่มีความจุในการรับน้ำหนักมากเกินไปนั้นมีราคาแพงและมีขนาดใหญ่ ทำให้ติดตั้งและบำรุงรักษายาก
2. เวลาในการแปลง: เวลาในการแปลงหมายถึงเวลาตั้งแต่ไฟหลักดับไปจนถึงการเริ่มจ่ายไฟ UPS ยิ่งเวลาในการแปลงสั้นลงเท่าไร ประสิทธิภาพในการป้องกันอุปกรณ์ก็จะดีขึ้นเท่านั้น เวลาในการแปลงของ UPS ออนไลน์มักจะอยู่ภายในไม่กี่มิลลิวินาที ในขณะที่เวลาในการแปลงของ UPS แบบออฟไลน์อาจนานกว่านั้น
3. ประเภทของแบตเตอรี่: แบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบหลักอย่างหนึ่งของ UPS และประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ส่งผลโดยตรงต่อความทนทานและอายุการใช้งานของ UPS แบตเตอรี่ประเภททั่วไปในตลาดปัจจุบัน ได้แก่ แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าและมีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่า แต่มีราคาแพงกว่า แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดมีราคาถูกกว่าแต่มีอายุการใช้งานสั้นกว่า
4. ฟังก์ชันและคุณสมบัติ: UPS ประเภทต่างๆ มีฟังก์ชันและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และผู้ใช้ต้องเลือกฟังก์ชันและคุณสมบัติที่เหมาะสมตามความต้องการของตนเอง ตัวอย่างเช่น UPS ออนไลน์แบบแปลงคู่มีประสิทธิภาพความเสถียรและการป้องกันที่สูงขึ้น และเหมาะสำหรับอุปกรณ์สำคัญที่มีความต้องการคุณภาพไฟฟ้าสูง แหล่งจ่ายไฟฉุกเฉินเหมาะสำหรับอุปกรณ์พกพาที่มีความต้องการคุณภาพไฟฟ้าต่ำ
5. แบรนด์และบริการหลังการขาย: การเลือกผลิตภัณฑ์ UPS จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงสามารถรับประกันคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้ นอกจากนี้ บริการหลังการขายที่ดียังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผู้ใช้ต้องพิจารณาเมื่อเลือก UPS ผู้ใช้สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับบริการหลังการขายของแบรนด์ต่างๆ ได้จากคำวิจารณ์ผลิตภัณฑ์และพนักงานขาย
โดยสรุป UPS ถือเป็นระบบป้องกันไฟฟ้าที่สำคัญและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับรองการทำงานปกติของอุปกรณ์ที่สำคัญ ปกป้องความปลอดภัยของข้อมูล และปรับปรุงความต่อเนื่องทางธุรกิจ เมื่อเลือกและใช้ UPS ผู้ใช้จะต้องเลือกประเภทผลิตภัณฑ์และข้อมูลจำเพาะที่เหมาะสมตามความต้องการและสถานการณ์จริงของตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่สำคัญจะทำงานได้ตามปกติในกรณีที่ไฟฟ้าดับ